กรุงเทพฯ ประเทศไทย – ผู้เชี่ยวชาญที่มีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัยเรื่องสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาในค้างคาว กล่าวว่าการที่ประเทศไทยทำการวิจัยมาอย่างยาวนานในเรื่องนี้ และมีความพร้อมในเรื่องการวิจัยดังกล่าวเป็นคุณูปการให้ห้องแล็บ และการตรวจวินิจฉัยมีส่วนส่งเสริมให้ประเทศสามารถจัดการการแพร่ระบาดของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด 19 ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การประกาศเคอร์ฟิวในตอนกลางคืนและการสั่งปิดสถานที่ต่างๆที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันช่วยคุมการระบาดของโรคได้ รวมถึงการปิดชายแดนซึ่งเป็นจุดที่แม้น้อยคนจะผ่านเข้ามา แต่ก็ต้องผ่านการคัดกรองและกักกันอย่างเข้มงวด
แต่แน่นอน ปัจจัยหลักที่ทำให้ไทยสามารถควบคุมโรคได้ คือความสามารถในการตรวจพบและจัดการกับผู้ป่วยรายแรกๆ ได้ ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกที่ยืนยันผู้ป่วยโควิด 19 นอกเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นผู้โดยสารที่เดินทางมายังสนามบินสุววรณภูมิจากเมืองอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 8 มกราคม การคัดกรองที่ทำเป็นกิจวัตรที่สนามบินนับตั้งแต่มีรายงานการระบาดในจีนพบว่า ผู้โดยสารคนดังกล่าวมีไข้
เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขส่งผู้โดยสารดังกล่าวไปสถาบันบำราศนราดูร ซึ่งต่อมามีการวินิจฉัยว่าเป็นปอดอักเสบ และแพทย์สงสัยว่าเป็นการติดเชื้อไวรัส
ตัวอย่างซึ่งเก็บจากส่วนหลังของโพรงจมูกได้ถูกตรวจวิเคราะห์โดยศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกเพื่อการวิจัยและฝึกอบรมเกี่ยวกับโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่เกิดจากเชื้อไวรัส ห้องแล็บนี้มีความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัยไวรัสโคโรนา โดยเฉพาะชนิดที่อยู่ในค้างคาว
ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดีและหนึ่งในสมาชิกทีมที่ทำงานในการยืนยันผู้ป่วยโควิด 19 รายแรกในประเทศไทย ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
ตัวอย่างถูกวิเคราะห์โดยทีมที่นำโดย ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี รองผู้อำนวยการศูนย์ฯ ทางทีมยืนยันพบเชื้อไวรัสโคโรนาด้วยการทดสอบแบบ RT-PCR ซึ่งจะจับสารพันธุกรรม (RNA) ของไวรัสโคโรนาและปัจจุบันเป็นวิธีการตรวจที่ใช้กันเป็นหลักเนื่องจากมีความแม่นยำสูงที่สุดในการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
จากนั้นทีมของดร.สุภาภรณ์ได้ถอดลำดับพันธุกรรมของของไวรัสโคโรนานี้ ซึ่งโดยหลักแล้วก็คือ “พิมพ์เขียว”ของยีน และมีข้อสังเกตว่าลำดับพันธุกรรมมีความคล้ายมากกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่พบในค้างคาวเกือกม้าในจีน
“เราทำวิจัยเกี่ยวกับค้างคาวในไทยและโรคที่เกี่ยวกับค้างคาวมากว่า 20 ปี” ดร.สุภาภรณ์กล่าว “ลักษณะจำเพาะของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่ตรงกับข้อมูลของสายพันธุ์อื่นที่เคยเปิดเผยมาก่อนเลย”
เพื่อทำตามระเบียบวิธีปฏิบัติของการสอบสวนโรค ตัวอย่างได้ถูกส่งไปยังแล็บอีกสองแห่งที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพและสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และสาธาณสุข แล็บทั้งสองแห่งทำการทดสอบพร้อมกันโดยใช้วิธีต่างกันเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำที่สุด
ดร.พิไลลักษณ์ โอกาดะ หัวหน้าศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติและคณะประกอบไปด้วยนักจุลชีววิทยา 10 คนทำการทวนสอบดีเอ็นเอของไวรัสด้วยการใช้การถอดลำดับแบบ metagenomic sequencing ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม Next-Generation โดยอ้างอิงจากชุดข้อมูลการถอดลำดับจีโนมสำหรับ 30,000 คู่เบส
ดร.พิไลลักษณ์ โอกาดะ (แถวหน้า) หัวหน้าศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติและคณะที่ห้องแล็บกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563 คณะทำงานชุดนี้ได้ทำการทวนสอบผลตรวจผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายแรกที่ ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และสาธาณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
หลังจากนั้นในวันที่ 11 มกราคม ข้อมูลลำดับพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาที่แพร่ระบาดในอู่ฮั่นก็ถูกเผยแพร่ออกมาและได้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับลำดับพันธุกรรมของเชื้อจากผู้เดินทางกลับจากอู่ฮั่นที่นำมาแยกเพาะ ซึ่งพบว่า ตรงกัน 100% ไทยจึงประสบความสำเร็จในการยืนยันผู้ป่วยโควิด 19 รายแรกในวันที่ 13 มกราคมด้วยตนเอง
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และสาธาณสุขพัฒนาสารตั้งต้นสำหรับการสังเคราะห์ดีเอนเอสายสั้นๆ (oligonucleotide primer)และชุดตรวจเพื่อตรวจหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งคัดมาจาก nucleocapsid (ยีน N) ของไวรัส แถบแสดงผลถูกออกแบบสำหรับการตรวจหาเชื้อชนิดนี้โดยเฉพาะ (สารตั้งต้นสองชนิด/ชุดตรวจ) ซึ่งแสดงถึงมาตรฐานระดับสูงและศักยภาพของห้องแล็บระดับประเทศ
แล้วไทยมีการค้นพบที่น่าทึ่งนี้ได้อย่างไร
ในห้องแล็บหลายแห่ง เช่น ที่ดร.สุภาภรณ์ทำงานอยู่ มีความเชี่ยวชาญและเครื่องมือในการตรวจหาไวรัสโคโรนาในค้างคาว ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ง่ายต่อการแปลงไปสู่การตรวจหาโควิด 19 และในส่วนของการเตรียมพร้อมรับโรคระบาด เช่น โรคที่มีลักษณะคล้ายโรคระบบทางเดินหายใจรุนแรงเฉียบพลัน (SARS) ประเทศไทยได้ตั้งเครือข่ายของห้องแล็บที่ได้รับการรับรองมาตรฐานไว้แล้วทั่วประเทศ เรามีขีดความสามารถในการทำวิจัยเพียงพอที่จะยกระดับการพัฒนาชุดตรวจและระเบียบวิธีการตรวจเพื่อจะหาเชื้อไวรัสใหม่นี้
เจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพสวมชุดป้องกันตนเอง (PPE) ขณะผสมน้ำยา PCR ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการตรวจ RT-PCR ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
ในการตรวจหาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั้น ประเทศไทยได้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติขององค์การอนามัยโลก หรือ Coronavirus disease (COVID-19) technical guidance: Laboratory testing for 2019-nCoV
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าว นอกจากนี้ นโยบาย “หนึ่งห้องแล็บ หนึ่งจังหวัด รายงานผลใน 24 ชั่วโมง” ของไทยยังกำหนดให้มีอย่างน้อยหนึ่งแล็บในแต่ละจังหวัดใน 77 จังหวัดทั่วประเทศเพื่อตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งนี้ช่วยให้สามารถระบุแหล่งที่เป็นพื้นที่เสี่ยงในพื้นที่ได้
นับจากวันที่ 1 มกราคม ถึง 26 มิถุนายน 2563 ห้องปฏิบัติการของกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลทหาร โรงพยาบาลตำรวจโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลเอกชนได้ทำการตรวจทั้งสิ้น 603,657 ตัวอย่างผ่านวิธี RT-PCR
ดร.นภวรรณ เจนใจ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาคุณภาพและวิชาการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่า ขณะนี้มีห้องปฏิบัติการจำนวน 203 แห่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานให้ตรวจโควิด 19 ด้วยวิธี RT-PCR
ดร.นภวรรณกล่าวว่า การฝึกใช้เครื่องมืออย่างต่อเนื่อง การจำลองสถานการณ์ การจำลองฉากทัศน์ การประเมินความเสี่ยง และบทเรียนจากโรคระบาดก่อนหน้านี้ เช่น โรค SARS โรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหะอย่างโรคไข้ซิก้า และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอ (H1N1) ช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายเข้าใจขอบเขตของบุคลากรและขีดความสามารถของเทคโนโลยี “เราต้องหมั่นอุ่นเครื่องอยู่เสมอ” ดร.นภวรรณกล่าว
ตัวอย่างและน้ำยาทดสอบจะถูกวิเคราะห์ในเครื่อง thermal cycler ด้วยเทคนิค RT-PCR เพื่อตรวจจับข้อมูลทางพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับเครือข่ายห้องแล็บตรวจโควิด 19 ต่างๆ สามารถตรวจตัวอย่างเกินเป้ารายวันที่ตั้งไว้และขณะนี้ทำการตรวจกว่า 10,000 ตัวอย่างต่อวันสำหรับกรุงเทพฯและปริมณฑล และอีก 10,000 ตัวอย่างสำหรับต่างจังหวัดโดยใช้เทคนิค RT-PCR
ค่าใช้จ่าย 2,500 บาท (ราว 81 เหรียญสหรัฐ) ต่อการตรวจ RT-PCR หนึ่งชุด เป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณของภาครัฐที่ได้จัดสรรไว้เพื่อควบคุมโรคภายใต้ความคุ้มครองของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับประชาชนชาวไทยและกองทุนประกันสังคมสำหรับลูกจ้าง
การตรวจให้ได้ผลที่แม่นยำรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะทำอย่างไรเมื่อได้รับผลนั้นสำคัญยิ่งกว่า การตรวจอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพสูงทั่วประเทศไทยทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการส่งทีมไปแยกผู้ป่วยที่มีผลตรวจเป็นบวกหรือการติดตามผู้สัมผัส เพื่อให้ผู้สัมผัสทุกคนได้กักตัวและถูกติดตามใกล้ชิด การแยกผู้ป่วยและผู้สัมผัสนั้นเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้และเป็นกุญแจสำคัญของการชะลอหรือตัดวงจรของการระบาด
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อธิบดีมีหน้าที่รับผิดชอบในการกับกับดูแลและบริหารห้องแล็บทั่วประเทศภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน นพ.โอภาสนำเสนอให้ประชาชนทั่วไปใช้หน้ากากผ้าในยามที่หน้ากากอนามัยอาจขาดแคลนในช่วงที่มีการระบาด © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
ทีมระบาดวิทยากว่า 1,000 ทีมได้ทำงานด้านการติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วยในช่วงที่ผ่านมา นพ.โอภาสกล่าว นอกจากนี้ไทยยังได้จัดให้มีระบบการเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งได้เก็บตัวอย่างทางโพรงจมูกและตัวอย่างน้ำลายเกือบ 100,000 ตัวอย่าง โดยเน้นเป้าหมายบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขัง แรงงานต่างด้าว คนส่งเอกสารและพนักงานขับรถ
ไทยกำลังวางแผนจะจัดทำการเฝ้าระวังที่เป็นระบบและมีความครอบคลุมมากขึ้น เพื่อนำมาใช้ในระยะ 14-24 เดือนข้างหน้าเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด 19
ตัวอย่างเก็บจากผู้ป่วยที่สนามมวยลุมพินีที่มีผลตรวจโควิด 19 เป็นบวก นี่เป็นการระบาดเป็นกลุ่มก้อนแรกในประเทศไทยและการพล็อตกราฟแสดงให้เห็นความชันที่เกิดขึ้น © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง
แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ดร.นภวรรณกล่าวว่า หวังว่าไทยยังจะ “เฝ้าระวังอย่างสูง” ในการค้นหาการแพร่ระบาดในชุมชน ประสบการณ์จากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า ทุกประเทศต้องไม่ประมาทและปฏิบัติตามข้อเสนอแนะต่างๆเสมอเพื่อความปลอดภัยของทุกคน มิเช่นนั้นแล้วจะเกิดการระบาดในพื้นที่หรือจะมีพื้นที่เสี่ยงเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว